3 กรกฎาคม
รุ่น 1975 Legacy
50 ปี แห่งการรังสรรค์นาฬิกาใน Franches-Montagnes
มอริส ลาครัวซ์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2518 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Saignelégier ที่ซึ่งเป็น หมู่บ้านเล็กๆ ใจกลางเทือกเขา Franches-Montagnes ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ความงดงาม ตามธรรมชาติของภูมิภาคนี้มีอิทธิพลเชิงบวกต่อนาฬิกาของบริษัท และครั้งนี้ เพื่อเป็นการฉลอง เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ แบรนด์ มอริส ลาครัวซ์ จึงได้รังสรรค์นาฬิการุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นขึ้นมาถึง 3 รุ่น เพื่อเป็นการยกย่องถิ่นเกิดของบริษัท ซึ่งก็คือทิวทัศน์อันเขียวชอุ่มของ เทือกเขาชูราในสวิตเซอร์แลนด์ นาฬิกาแต่ละเรือนต่างมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเองแต่ก็มี การตกแต่งตัวเรือนอย่างประณีตเหมือนกัน โดยปกติแล้วคอลเลคชั่น Masterpiece ของแบรนด์ จะเน้นการผลิตตัวเรือนแต่ละรุ่นให้รักษามาตราฐานชื่อเสียงของบริษัทเพื่อให้ส่งมอบคุณภาพ และคุณค่าที่ผสมผสานกันได้อย่างน่าทึ่ง
มอริส ลาครัวซ์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2518 โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Saignelégier ที่ซึ่งเป็น หมู่บ้านเล็กๆ ใจกลางเทือกเขา Franches-Montagnes ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ความงดงาม ตามธรรมชาติของภูมิภาคนี้มีอิทธิพลเชิงบวกต่อนาฬิกาของบริษัท และครั้งนี้ เพื่อเป็นการฉลอง เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ แบรนด์ มอริส ลาครัวซ์ จึงได้รังสรรค์นาฬิการุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นขึ้นมาถึง 2 รุ่น เพื่อเป็นการยกย่องถิ่นเกิดของบริษัท ซึ่งก็คือทิวทัศน์อันเขียวชอุ่มของ เทือกเขาชูราในสวิตเซอร์แลนด์ นาฬิกาแต่ละเรือนต่างมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเองแต่ก็มี การตกแต่งตัวเรือนอย่างประณีตเหมือนกัน โดยปกติแล้วคอลเลคชั่น Masterpiece ของแบรนด์ จะเน้นการผลิตตัวเรือนแต่ละรุ่นให้รักษามาตราฐานชื่อเสียงของบริษัทเพื่อให้ส่งมอบคุณภาพ และคุณค่าที่ผสมผสานกันได้อย่างน่าทึ่ง
1975 AUTOMATIC VAGUES DU JURA
หน้าปัดของนาฬิกา Automatic Saignelégier Blue 1975 ให้ความเคารพต่อถิ่นเกิดด้วย ลวดลายหน้าปัดแบบ Vagues du Jura ลวดลายที่ละเอียดอ่อนในแบบเฉพาะสำหรับ มอริส ลาครัวซ์ อันแสดงให้เห็นถึงเนินเขาที่มองเห็นวิวของสถานที่ผลิต ลวดลายที่นำมาใช้ครั้งแรก ในรุ่น Masterpiece นี้ทำให้หน้าปัดดูมีมิติที่หยอกล้อกับแสง นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังได้ค้นคว้า ในคลังข้อมูลและได้ค้นพบสีเก่าแก่จากในอดีตอย่าง Saignelégier Blue ซึ่งเป็นเฉดสีที่กลับมา ปรากฏในนาฬิการุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นนี้อีกครั้ง
เข็มชั่วโมงและนาทีทรงเหลี่ยมสไตล์โดฟินผสานกับหลักชั่วโมงทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่รังสรรค์ ขึ้นด้วยมือเพื่อบอกเวลาได้อย่างชัดเจน ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกามีการแสดงวันที่ด้วยตัวเลขสีขาว บนแผ่นดิสก์สีน้ำเงิน มอริส ลาครัวซ์ เลือกใช้สีแผ่นดิสก์แสดงวันที่ให้เข้ากับโทนสีของ หน้าปัดหลักที่ล้อมด้วยขอบสีเงิน นี่คือรายละเอียดที่ถือเป็นจรรยาบรรณในการรังสรรค์เรือนเวลา ในหมู่ผู้ชื่นชอบนาฬิกา เข็มวินาทีตรงกลางที่เพรียวบางเต็มไปด้วยฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วน
ตัวเรือนสตีลขนาด 40 มม. ผสานพื้นผิวแบบด้านและขัดเงาเข้าด้วยกันซึ่งมอบความแตกต่าง ที่หรูหรา และบรรจุกลไกอัตโนมัติ ML155 ที่มองเห็นได้จากด้านหลังพร้อมกระจกแซฟไฟร์ กลไกนี้มีขนาดบางกว่ารุ่นมาตรฐานปี 1975 ทำให้รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นนี้มีขนาดเพียง 9 มม. และแม้จะมีขนาดกะทัดรัด แต่กลไกนี้มีพลังสำรองมหาศาลถึง 56 ชั่วโมง การตกแต่งกลไก อย่างประณีตยังรวมไปถึงลวดลายเพอร์เลจ โคลิมาซอง และจานเหวี่ยงที่ประดับด้วย Vagues du Jura เช่นกัน ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ทำให้รุ่นนี้มีความพิเศษ
นาฬิการุ่น Automatic Saignelégier Blue 1975 เรือนนี้มาพร้อมสายหนังสีเดียวกัน และมีระบบ เปลี่ยนสายนาฬิกาแบบง่ายของมอริส ลาครัวซ์ ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ ของนาฬิกาได้ด้วยการสลับสายนาฬิกาเป็นแบบอื่น ด้วยการกดง่ายๆ เพียงไม่กี่ครั้ง ฝาหลังสลัก คำว่า ‘Limited Edition of 888 pieces’
1975 AUTOMATIC VAGUES DU JURA GMT
นาฬิกา 1975 Legacy รุ่นสุดท้าย ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีของ มอริส ลาครัวซ์ โดยมาพร้อมกับการบอกเวลาคู่ ในโอกาสนี้ เมื่อหน้าปัดนาฬิกาได้ถ่ายทอดภาพของ เนินเขายามรุ่งสางที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีเงิน ทำให้รู้สึกได้ถึงความสงบของลวดลาย Vague du Jura นอกจากนี้ กระจกแซฟไฟร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากสไตล์แบบวินเทจ ยังช่วยเน้นพื้นผิวหน้าปัดที่มีลวดลายอันวิจิตรอีกด้วย
เข็มนาฬิกาและหลักชั่วโมงมีการออกแบบที่เหมือนกันกับรุ่น 1975 Legacy อื่นๆ ยกเว้นเพียงแค่ รุ่นนี้ผลิตออกมาในโทนสีทอง เมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิดจะเผยให้เห็นเข็มนาฬิกาแกนร่วม แบบฉลุและมีปลายสีแดงเพิ่มเติมโดยจะบอกเวลา "ที่บ้าน" ในขณะนั้น ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่มี ประโยชน์เมื่อเราเดินทาง
นาฬิกา 1975 Automatic GMT Silver Mist มาพร้อมสายหนังจระเข้สีดำที่สวมบนข้อมือ อย่างปลอดภัยด้วยตัวล็อคแตนเลสสตีล นาฬิกาเรือนนี้ยังมีระบบเปลี่ยนสายนาฬิกาแบบง่ายของ มอริส ลาครัวซ์อีกด้วย